NIA – สถาบันเอเชียศึกษา – คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ดึง 7 พรรคการเมือง ร่วมเวทีดีเบต 5 โจทย์นวัตกรรมครั้งแรกของเมืองไทย พร้อมจุดยืนสร้างไทยสู่ชาตินวัตกรรม
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสถาบันเอเชียศึกษา และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่ชวนตัวแทนพรรคการเมืองร่วมดีเบตนโยบายนวัตกรรมสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยมิติการเมืองใหม่ พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ – สังคมของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกับประชาชน นอกจากนี้ ยังเผยถึงนโยบายด้านนวัตกรรมกับการแก้ไขปัญหาของไทยตามแนวคิด 3C “Competitiveness – Corruption - Climate Change” ที่ผู้นำจำเป็นต้องนำนวัตกรรมมาเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลง
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ใกล้ถึงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของประเทศไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลายพรรคการเมืองได้ออกนโยบายเพื่อสร้างและพัฒนาประเทศให้มีพัฒนาการในด้านเศรษฐกิจ สังคม สวัสดิการ สาธารณสุข การศึกษา และอีกหลากหลายด้านตามบริบทวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไป โดยการจะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั้น NIA เชื่อมั่นว่าควรนำ “นวัตกรรม” มาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน และต้องทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่านวัตกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยทางนวัตกรรมจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน ความมั่นคงในชีวิตได้อย่างแท้จริง
“นโยบายนวัตกรรมในประเทศไทยมักจะเป็นการพูดรวมกันระหว่างนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพราะมองว่านวัตกรรมมาจากการวิจัยและพัฒนา แต่จริง ๆ มีสิ่งที่ตรงประเด็นกว่านั้นคือ การสร้างบริษัทที่นำเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่มาใช้ เนื่องจากพบปัญหาคือบริษัทที่ทำในด้านนวัตกรรมนั้นยังมีไม่มากพอ อีกทั้งการที่บริษัทจะโตในเศรษฐกิจฐานรากได้ ต้องสร้างบริษัทที่ทำด้านนวัตกรรมและขายได้ในระดับโลกให้เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานระบบนวัตกรรมของไทยถูกผลักดันจากบริษัทขนาดใหญ่ด้านพลังงานทางเลือก การเกษตร และเคมี ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพต้องไปทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงการสร้างโอกาสให้นวัตกรรมไม่กระจุกตัวอยู่แค่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือบริษัทใหญ่ ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะช่วยลดปัญหาเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ได้ และบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมควรจะเพิ่มขึ้นในฐานะของการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในเมืองไทยอีกด้วย”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเพิ่มและการสร้างบริษัทด้านนวัตกรรมให้เพิ่มขึ้นในประเทศไทยแล้ว ในเร็ว ๆ นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายใต้วาระของผู้นำคนใหม่ ซึ่งควรมี “การวางนโยบายด้านนวัตกรรมของประเทศ” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากจะเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศที่เป็นสายแข็งในด้านเทคโนโลยี - นวัตกรรม ล้วนมีแผนจากรัฐบาลที่ชัดเจนว่าจะผลักดันอะไรของประเทศให้เป็นที่จดจำ สร้างมูลค่า จนไปถึงการเป็นแบรนด์ของประเทศให้เป็นที่รับรู้ของชาวโลก ซึ่งการมีแผนที่ชัดเจนยังเพื่อส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีบทบาทส่งเสริมระบบนวัตกรรม ธุรกิจนวัตกรรม กลุ่มคนที่มีความสามารถให้ขับเคลื่อนแผน – แนวปฏิบัติได้อย่างตรงจุด รวมถึงเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในการนำแนวคิดไปพัฒนาธุรกิจ ทักษะความสามารถ และสะท้อนความสำเร็จกลับมาสู่รัฐในฐานะผู้วางนโยบายได้อีกด้วย
“NIA เห็นความสำคัญของการนำนโยบายด้านนวัตกรรมมาร่วมขับเคลื่อนประเทศ จึงร่วมกับสถาบันเอเชียศึกษา และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่ให้ตัวแทนจากพรรคการเมืองได้ร่วมนำเสนอนโยบายนวัตกรรมสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยมิติการเมืองใหม่ พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ – สังคมของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพราะ NIA มองว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมายประเทศนวัตกรรมจะสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และการเมืองเป็นสำคัญ
โดยวาระสำคัญที่ต้องการให้พรรคการเมืองได้นำเสนอแนวทางคือ
นโยบายเร่งด่วนด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศใน 4 ปีข้างหน้า
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวาระเร่งด่วนของประเทศไทย NIA ยังคงมองประเด็นการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้โมเดล 3C คือ Competitiveness ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทนวัตกรรมให้มีมากขึ้น เพราะบริษัทที่แข่งขันได้ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ส่วนใหญ่เติบโตในระดับโลกหมดแล้ว มีจำนวนไม่มาก และอาจยังไม่สามารถสะท้อนความเป็นชาติแห่งนวัตกรรมของไทยได้มากนัก จึงต้องเร่งสร้างแบรนด์นวัตกรรมไทยระดับโลกโดยบริษัทขนาดใหญ่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคต เพื่อการเติบโตระยะยาว รวมถึงเสริมสร้างการสร้างงานนวัตกรรมและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ ส่วนต่อมาคือ Corruption หมายถึง การแสดงออกถึงความโปร่งใส ควรมีนวัตกรรมที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการทำงานของรัฐได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะนวัตกรรมการเงินและงบประมาณภาครัฐ นวัตกรรมตรวจสอบและระบบยุติธรรมภาครัฐ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและก้าวไปในทิศทางที่ดีขึ้น และส่วนสุดท้ายคือ Climate Change ซึ่งเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ขยะ ฝุ่น PM 2.5 รถติด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเจตนารมณ์โลก ซึ่งเหล่านี้ผู้นำและผู้กำหนดนโยบายล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
รศ. ดร. ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราคิดและสร้างนโยบายนวัตกรรมแบบทุนนิยม โดยละเลยการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในความหมายของนวัตกรรมตามความหมายของโจเซฟ ชุมปีเตอร์ ที่กล่าวว่าเป็นการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (Creative Destruction) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ กระบวนการใหม่ หรือตลาดใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะทำลายสิ่งเก่า ซึ่งความท้าทายในแต่ละยุคสมัยมักจะมาพร้อมนวัตกรรม นั่นคือความสามารถของสังคมและพวกเราทุกคนในการหาจุดที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วนวัตกรรมจำเป็นและมีพลังมากพอที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ นอกจากนี้ นวัตกรรมก่อให้เกิดความสามารถด้านการแข่งขัน ลดการพึ่งพา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคมได้
รศ. ดร.พนิต ภู่จินดา หัวหน้าภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ กล่าวว่า โจทย์สำคัญของไทยคือประชากรในโลกเกิน 50% อยู่ในพื้นที่เมือง และคาดการณ์ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า อาหารที่มีในโลกจะรองรับประชากรได้เพียงครึ่งหนึ่งของความต้องการอาหารทั้งหมด จึงต้องขยายความสามารถในการรองรับความต้องการของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปให้สมดุลกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด สำหรับนวัตกรรมเชิงพื้นที่ที่ภาควิชาการวางแผนภาคและเมืองได้ออกแบบย่านนวัตกรรมจะมี 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1) พื้นที่ที่มาจากศูนย์ค้นคว้าและวิจัยระบบพร้อมพัฒนานวัตกรรมในสถาบันการศึกษา หรือแหล่งผลิตที่มีองค์ความรู้พื้นฐาน 2) พื้นที่ที่มีการผลิตซ้ำในเชิงอุตสาหกรรม และ 3) พื้นที่ทดลองใช้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมือง โดยต้องออกแบบพื้นที่ใหม่หรือปรับปรุงพื้นที่เดิม เช่น ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่เพื่อทำรายได้จากการแพทย์ยุคใหม่ แต่มุ่งให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์คุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมผ่านการแบ่งปันเครื่องมือ โครงสร้างพื้นฐาน และการคมนาคม และย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารที่จังหวัดขอนแก่น จะเห็นได้ว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต และต้องการพื้นที่เมืองรองรับ ทั้งเมืองและชนบทต้องเกื้อกูลกัน เช่น วัตถุดิบที่ต้องการอาจอยู่ในพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม แต่ต้องการพื้นที่เมืองในการต่อยอดและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อกลับไปพัฒนาพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ประเทศไทยต้องเดินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับศักยภาพ ข้อจำกัด และโอกาสของประเทศได้อย่างเหมาะสม
ในช่วงเสวนาดีเบตนโยบายนวัตกรรมสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยมิติการเมืองใหม่ ตัวแทนพรรคการเมืองทั้ง 6 พรรคได้ร่วมโชว์วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ – สังคมของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม ดังนี้